อัมพาต (Paralysis) คือ อาการที่กล้ามเนื้อของอวัยวะส่วนต่าง ๆ
ในร่างกายไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้
เนื่องจากภาวะเจ็บป่วยที่ทำให้ระบบสั่งการของสมองสำหรับควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายเกิดความผิดพลาด
ซึ่งอาจมีสาเหตุจากโรคหลอดเลือดสมอง หรือการประสบอุบัติเหตุ
การเจ็บป่วยที่กระทบกระเทือนกับสมอง ไขสันหลัง กระดูกคอ และเส้นประสาทต่าง ๆ
ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย
ทำให้เส้นทางการส่งกระแสประสาทระหว่างสมองและกล้ามเนื้อขาดช่วง
ส่งผลให้เกิดอาการอัมพาตเป็นบางจุด เช่น บริเวณใบหน้า แขน ขา อาจเป็นอัมพาตครึ่งซีก
หรืออาจเป็นอัมพาตทั้งร่างกาย
ผู้ป่วยอัมพาตมีโอกาสหายและอาการดีขึ้นได้หากได้รับการดูแลรักษาและฟื้นฟูร่างกายอย่างถูกต้องเหมาะสม
|
ชนิดและอาการของอัมพาต
1. อัมพาตเฉพาะที่ มีอวัยวะบางส่วนที่เป็นอัมพาตและขยับเขยื้อนไม่ได้ เช่น ใบหน้า หรือมือ
2. อัมพาตทั่วร่างกาย เป็นอัมพาตในบริเวณกว้าง ส่งผลให้อวัยวะบางส่วนหรือหลายส่วนขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ ได้แก่
- โมโนพลีเจีย
(Monoplegia) – แขน
หรือขาข้างใดข้างหนึ่งขยับเคลื่อนไหวไม่ได้
- เฮมิพลีเจีย
(Hemiplegia) – แขน
และขาข้างใดข้างหนึ่งขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือที่เรียกว่า อัมพาตครึ่งซีก
- พาราพลีเจีย
(Paraplegia) – ขาทั้งสองข้าง
หรือตั้งแต่บริเวณอุ้งเชิงกรานและช่วงล่างของลำตัวลงไปขยับเคลื่อนไหวไม่ได้
- เตตร้าพลีเจีย
หรือ ควอดริพลีเจีย (Tetraplegia
หรือ Quadriplegia) – แขนและขาทั้งสองข้างขยับเคลื่อนไหวไม่ได้
ทั้งนี้ อัมพาตยังแบ่งเป็น 2 ประเภทตามลักษณะกล้ามเนื้อในบริเวณที่เป็นอัมพาตด้วย
ได้แก่
1. อัมพาตแบบกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก
(Flaccid Paralysis)
กล้ามเนื้อจะหดตัวและอ่อนแรง
2. อัมพาตแบบกล้ามเนื้อเกร็ง
(Spastic Paralysis)
กล้ามเนื้อจะตึงและแข็ง
ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อกระตุกหรือเกิดตะคริวได้
หากผู้ป่วยเป็นอัมพาตแค่บางส่วน
อาจควบคุมกล้ามเนื้อในบริเวณที่เป็นอัมพาตให้ขยับเคลื่อนไหวได้บ้างแต่หากเป็นอัมพาตทั่วร่างกาย
จะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อในบริเวณนั้นให้ขยับหรือเคลื่อนไหวได้เลย
อัมพาตอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
อย่างผู้ป่วยโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell's
Palsy) ซึ่งมีใบหน้าบิดเบี้ยวจากกล้ามเนื้อบนใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีกเพราะเกิดภาวะอักเสบที่ประสาทสมองเส้นที่
7 หากได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
ผู้ป่วยจะฟื้นตัวกลับมาและหายจากอาการอัมพาตบางส่วน หรือหายดีเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายอาจยากที่จะหายดีเป็นปกติ
หรืออาจเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย การรักษา
และการเจ็บป่วยที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการอัมพาตด้วย
สาเหตุของอัมพาต
โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular Accident หรือ Stroke) ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก มีลักษณะการเกิด ดังนี้
1. Ischemic Stroke : เส้นเลือดในระบบไหลเวียนโลหิตถูกลิ่มเลือดอุดตัน หรือเกิดจากหลอดเลือดตีบแคบลงจากไขมันเกาฝังตัวที่ผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดและออกซิเจนเดินทางไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในสมองไม่ได้
2. Hemorrhagic Stroke : เส้นเลือดในสมองแตก ฉีกขาด หรือได้รับความเสียหาย ทำให้เลือดและออกซิเจนเดินทางไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในสมองไม่ได้
โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular Accident หรือ Stroke) ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก มีลักษณะการเกิด ดังนี้
1. Ischemic Stroke : เส้นเลือดในระบบไหลเวียนโลหิตถูกลิ่มเลือดอุดตัน หรือเกิดจากหลอดเลือดตีบแคบลงจากไขมันเกาฝังตัวที่ผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดและออกซิเจนเดินทางไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในสมองไม่ได้
2. Hemorrhagic Stroke : เส้นเลือดในสมองแตก ฉีกขาด หรือได้รับความเสียหาย ทำให้เลือดและออกซิเจนเดินทางไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในสมองไม่ได้
เมื่อเกิดอาการดังกล่าว จะนำไปสู่ภาวะสมองขาดเลือด กระทบต่อสมรรถภาพในการควบคุมสั่งการกล้ามเนื้ออวัยวะส่วนต่าง ๆ ทำให้อวัยวะไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวเป็นปกติได้
การได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ
เมื่อศีรษะได้รับบาดเจ็บหรือการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
อาจทำให้เกิดความเสียหายภายในสมองได้ เนื้อเยื่อสมองอาจฉีกขาดหรือฟกช้ำจากการกระแทกระหว่างสมองกับกะโหลกศีรษะจนสร้างความเสียหายแก่เส้นเลือดและเส้นประสาทในสมองความเสียหายมักเกิดขึ้นกับสมองซีกซ้ายที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
จนส่งผลต่ออาการอัมพาตของร่างกายในซีกขวาและความเสียหายในสมองซีกขวาที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายจะทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตบริเวณร่างกายซีกซ้าย
อย่างไรก็ตาม
อาการอัมพาตของร่างกายในแต่ละซีกนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสมองที่ได้รับบาดเจ็บ
การได้รับบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง
ไขสันหลังเป็นเส้นประสาทที่อยู่ภายในกระดูกสันหลังที่เชื่อมไปถึงกระดูกคอมีหน้าที่ควบคุมระบบประสาทส่วนกลางซึ่งเป็นตัวกลางเชื่อมสัญญาณระหว่างสมองกับร่างกายในการรับรู้ความรู้สึกต่างๆทำให้สมองสามารถสั่งการควบคุมการแสดงออก
ปฏิกิริยา และการเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกายได้ ดังนั้น
เมื่อไขสันหลังเกิดความเสียหาย เช่น กระดูกบริเวณคอ หรือกระดูกสันหลังบาดเจ็บจากแรงกระแทกอาจทำให้ไขสันหลังได้รับความเสียหายจนไม่สามารถส่งสัญญาณจากสมองไปยังกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
การบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลังมักมีสาเหตุจากการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆมากกว่าการได้รับการกระทบกระเทือนจนสร้างความเสียหาย
อุบัติเหตุรุนแรงที่อาจทำให้ไขสันหลังบาดเจ็บ ได้แก่ อุบัติเหตุทางรถยนต์
อุบัติเหตุจากการทำงาน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
การหล่นจากที่สูง เป็นต้น ทั้งนี้
ลักษณะอาการอัมพาตนั้นขึ้นอยู่กับบริเวณไขสันหลังที่ได้รับบาดเจ็บด้วย เช่น การบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลังส่วนกลางอาจทำให้เป็นอัมพาตชนิดพาราพลีเจีย
(ร่างกายส่วนล่างลำตัวลงมาเป็นอัมพาต) หรือการบาดเจ็บบริเวณกระดูกคออาจทำให้เป็นอัมพาตชนิดเตตร้าพลีเจีย
หรือควอดริพลีเจีย (เป็นอัมพาตทั้งแขนและขาทั้งสองข้าง)
หลอดเลือดอุดตัน
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
บวกกับการที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
หรือในคนที่แข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวก็ตาม ที่บริเวณผนังหลอดเลือดจะมีไขมันมาเกาะ
ซึ่งไขมันเหล่านั้นจะพอกสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ผ่านไป
และยังมีพวกเม็ดเลือด รวมถึงสารอื่นๆมาร่วมกันพอกหนาขึ้นๆเป็นลิ่มเลือด
จนสุดท้ายอยู่มาวันหนึ่ง ลิ่มเลือดนั้นเกิดหลุดแล้วก็ล่องลอยไปตามกระแสเลือด
ถ้าลอยอยู่เฉยๆคงจะไม่มีปัญหาอะไรตามมา แต่มันดันไปอุดในหลอดเลือดที่เล็กกว่าเข้า
จึงทำให้เกิดปัญหาตามมา โดยความจริงลิ่มเลือดนี่สามารถไปอุดได้หลายที่ซึ่งปัญหาที่จะตามมาก็จะแตกต่างกันไป
เช่น ในหัวใจก็จะทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด
แต่ในกรณีของโรคอัมพาตและโรคอัมพฤกษ์นั้นจะเกิดจากการที่ลิ่มเลือดที่ว่านี้ไปอุดตันที่สมองนั่นเอง
โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือเอ็มเอส (Multiple Sclerosis)
ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายซึ่งทำหน้าที่ป้องกันและกำจัดการติดเชื้อทำงานผิดปกติ
ส่งผลให้สารมัยอีลิน (Myelin)
ที่หุ้มอยู่รอบใยประสาทบริเวณไขสันหลังถูกทำลายเมื่อปลอกประสาทนี้ถูกทำลาย
ส่งผลรบกวนต่อการนำสัญญาณสื่อประสาทระหว่างสมองกับร่างกาย
ทำให้เกิดอาการอัมพาตได้ในที่สุด นอกจากนี้ สาเหตุของอาการอัมพาต ได้แก่
1. โรคทางระบบประสาท เช่น
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic
Lateral Sclerosis)หรือโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม
(Motor Neuron
Disease) ซึ่งเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวเสื่อมหรือตายก่อนถึงอายุขัย
อาจทำให้เกิดอัมพาตทั้งตัวได้
2. โรคที่ภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น
กลุ่มอาการจีบีเอส หรือ กิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barre
Syndrome) ที่ระบบประสาทส่วนปลายเกิดการอักเสบติดเชื้อฉับพลัน
3. โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
หรือโรคใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก (Bell's
Palsy) เส้นประสาทบริเวณใบหน้าซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าเกิดการอักเสบ
4. โรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) มีความผิดปกติทางสมองทำให้ร่างกายขยับหรือเคลื่อนไหวลำบากหรือผิดปกติ
5. กลุ่มอาการหลังจากโรคโปลิโอ
(Post-Polio
Syndrome)
6. เนื้องอกที่เส้นประสาท (Neurofibromatosis)
7. มะเร็งสมอง มะเร็งไขสันหลัง
มักทำให้เกิดอาการอัมพาตครึ่งซีก
8. โรคไลม์ ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อ แบคทีเรียจะไปทำลายเส้นประสาท
ทำให้เกิดอาการอัมพาตชั่วคราวบริเวณใบหน้า
9. พิการแต่กำเนิด เช่น สไปนา ไบฟิดา
เป็นอาการพิการแต่กำเนิดบริเวณกระดูกสันหลังและระบบประสาท
ทำให้ร่างกายอัมพาตบางส่วน หรืออัมพาตอย่างถาวร
การวินิจฉัยอัมพาต
หากแพทย์ตรวจร่างกายและทดสอบสมรรถภาพร่างกายแล้วพบว่าผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว
แพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นอัมพาต แต่หากแพทย์มีข้อสงสัย
ต้องการวินิจฉัยหาสาเหตุ หรือตรวจหาบริเวณที่เป็นอัมพาตให้แน่ชัดขึ้น
แพทย์อาจส่งตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีการ ดังนี้
1. การเอกซเรย์
(X-Ray) เป็นการฉายรังสีเอกซเรย์ผ่านร่างกาย
เพื่อสร้างเป็นภาพอวัยวะภายในที่ต้องการตรวจ
มีประโยชน์ในการวินิจฉัยความเสียหายบริเวณกระดูกสันหลังหรือกระดูกคอ
2.การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เป็นวิธีการสร้างภาพถ่ายอวัยวะภายในจากการฉายรังสีเอกซเรย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
จะให้รายละเอียดที่เพิ่มขึ้นจากการเอกซเรย์ธรรมดา
มักใช้ตรวจหาความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณศีษะและไขสันหลังจากการบาดเจ็บอย่างรุนแรง
3.การสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เป็นวิธีการสร้างภาพอวัยวะภายในที่ต้องการตรวจด้วยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การใช้ MRI ช่วยให้แพทย์เห็นภาพความผิดปกติของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง
ๆ ประกอบการวินิจฉัยได้ชัดเจนขึ้น
โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณสมองและไขสันหลังเพื่อให้ภาพเอกซเรย์ที่ได้จากการ
X-Ray, CT Scan หรือ MRI มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
อาจใช้ การฉีดสีเพื่อตรวจไขสันหลัง (Myelography)
เพิ่มเติม
ซึ่งเป็นการตรวจไขสันหลังด้วยการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในเส้นประสาทไขสันหลัง
4. การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography) ใช้เครื่องมือที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับคลื่นไฟฟ้าที่อยู่ในกล้ามเนื้อและเส้นประสาทตามจุดต่าง
ๆ ของร่างกาย
แพทย์มักนำมาใช้ตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell's Palsy)
การรักษาอัมพาต
หากมีอาการอัมพาต
แพทย์จะวินิจฉัยและรักษาตามสาเหตุ หรืออาการป่วยต่าง ๆ
ที่เป็นเหตุให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาต แต่หากผู้ป่วยเป็นอัมพาตแบบถาวรนั้นจะไม่สามารถรักษาได้
เน้นการดูแลให้ผู้ป่วยปรับตัวใช้ชีวิตต่อไปได้ การรักษาประกอบด้วยวิธีการดังนี้
1. การผ่าตัด หรือการตัดอวัยวะ
แพทย์จะพิจารณาเป็นกรณีไป
ขึ้นอยู่กับอาการป่วยและความรุนแรงของการป่วยที่เป็นสาเหตุให้เกิดอัมพาต
2. การทำกายภาพบำบัด เป็นการฝึกการเคลื่อนไหวส่วนต่าง
ๆ
ของร่างกายด้วยวิธีการและแบบแผนที่ถูกต้องเหมาะสมภายใต้การดูแลหรือคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด
เพื่อช่วยฟื้นฟูประสาทกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานได้
และช่วยป้องกันการเจ็บป่วยต่อไปในอนาคตซึ่งอาจเกิดจากการที่ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว
ผู้ป่วยอาจทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล หรือด้วยตนเองหลังกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน
ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และนักกายภาพบำบัด
3.การทำกิจกรรมบำบัด
เป็นการฝึกให้ผู้ป่วยกลับมาช่วยเหลือตนเองได้ ด้วยการฝึกทำกิจกรรมต่าง ๆ
ในชีวิตประจำวัน อย่างการแต่งกาย การไปซื้อของ โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น
ฝึกทำกิจกรรมตามขั้นตอน สอนวิธีลัดอื่น ๆ ที่ช่วยให้ทำกิจกรรมดังกล่าวได้สำเร็จ
ปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อให้ทำกิจกรรมได้ง่ายขึ้น
หรือจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือเพื่ออำนวยความสะดวกแก่กิจกรรมต่าง ๆ
อ้างอิง
https://th.search.yahoo.com/yhs/search?hspart=iba&hsimp=yhs-1&type=xmds_5497_CRW_TH&p=%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%95+(Paralysis)
1.1 วีลแชร์ธรรมดา: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อร่างกายท่อนบนแข็งแรง และเป็นอัมพาตตั้งแต่ส่วนล่างของลำตัวลงไป
การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือในการเคลื่อนไหว ได้แก่
1.
การใช้รถเข็น หรือที่เรียกว่า
วีลแชร์
1.1 วีลแชร์ธรรมดา: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อร่างกายท่อนบนแข็งแรง และเป็นอัมพาตตั้งแต่ส่วนล่างของลำตัวลงไป
1.2
วีลแชร์ไฟฟ้า:
เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่กล้ามเนื้อร่างกายท่อนบนอ่อนแอ หรือเป็นอัมพาตชนิดเตตร้าพลีเจีย
หรือควอดริพลีเจีย ซึ่งแขนและขาทั้งสองข้างขยับเคลื่อนไหวไม่ได้
2. การใช้กายอุปกรณ์เสริม เป็นการสวมใส่อุปกรณ์ที่ทำจากพลาสติกหรือโลหะ
เพื่อช่วยชดเชยความอ่อนแอของกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นอัมพาต
และช่วยในการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่าง ๆ เช่น
2.2
กายอุปกรณ์เสริมสำหรับเท้า-ข้อเท้า:
อุปกรณ์จะช่วยในการเดิน ด้วยการบังคับการเคลื่อนไหวของเท้า เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตส่วนล่างลำตัวลงไปเพียงบางส่วน
เช่น ขาข้างเดียว
2.3
กายอุปกรณ์เสริมสำหรับประคองระดับข้อเข่า:
อุปกรณ์จะช่วยประคองความมั่นคงของข้อเข่าและข้อเท้า
แต่ท่อนขายังเคลื่อนไหวแกว่งตัวได้
เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตชนิดเตตร้าพลีเจีย หรือควอดริพลีเจีย
ที่แขนและขาทั้งสองข้างไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้
3. การขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นอัมพาตจากการถูกกระทบกระเทือนบริเวณไขสันหลัง
ส่งผลต่อการทำงานของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะด้วย
เนื่องจากเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของลำไส้และกระเพาะปัสสาวะจะอยู่บริเวณปลายของไขสันหลัง
ผู้ป่วยไม่สามารถขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ตามปกติ
จึงต้องใช้วิธีช่วยระบายของเสียออกจากร่างกาย ดังนี้
3.2
การสวนอุจจาระ เป็นการใช้ยาสวนเข้าไปทางทวารหนัก
เพื่อช่วยขับถ่ายอุจจาระ
3.3
การต่อสายท่อปัสสาวะ อาจทำได้ทั้งการต่อท่อเล็ก
ๆ
จากปลายท่อปัสสาวะบริเวณปลายอวัยวะเพศของผู้ป่วยเพื่อระบายปัสสาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้
หรือแพทย์อาจผ่าตัดเจาะต่ออุปกรณ์สายท่อจากกระเพาะปัสสาวะออกมาทางรูที่สร้างขึ้นบริเวณหน้าท้องของผู้ป่วย
3.4
การใส่ถุงอุจจาระ (Colostomy) แพทย์จะผ่าตัดบริเวณลำไส้แล้วต่อกับถุงอุจจาระโดยตรง
แล้วถุงจะอยู่ติดกับผนังหน้าท้องด้านนอกของผู้ป่วย
การใช้ยารักษาอาการปวดประสาท
(Neuropathic
Pain) ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดประสาทในระยะยาวเนื่องจากเส้นประสาทถูกทำลายไปก่อนหน้า ซึ่งอาการปวดประสาทที่เกิดขึ้นนี้
ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาแก้ปวดทั่วไปอย่างพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟน
แต่ต้องรักษาด้วยยาอะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) และพรีกาบาลิน
(Pregabalin) แต่ยาเหล่านี้ล้วนมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา
ดังนั้น ผู้ป่วยต้องใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสมภายใต้คำสั่งแพทย์
เพื่อประสิทธิผลสูงสุดในการรักษา
และหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและเป็นอันตรายได้
การรักษาภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ผู้ป่วยอัมพาตมักเผชิญกับปัญหากล้ามเนื้อชา เป็นตะคริว และหดเกร็ง ซึ่งรักษาได้โดยการใช้ยาเหล่านี้
การรักษาภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ผู้ป่วยอัมพาตมักเผชิญกับปัญหากล้ามเนื้อชา เป็นตะคริว และหดเกร็ง ซึ่งรักษาได้โดยการใช้ยาเหล่านี้
1. กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น
บาโคลเฟน (Baclofen) ทิซานิดีน (Tizanidine) และแดนโทรลีน (Dantrolene) ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคลายกังวลอย่างไดอะซีแปม
(Diazepam) นอกจากในรายที่มีอาการรุนแรงเท่านั้น
2. โบทูลินัม ท็อกซิน หรือโบท็อกซ์
จะถูกนำมาใช้หากรักษาด้วยยาคลายกล้ามเนื้อแล้วไม่ได้ผล
โดยอาจฉีดเฉพาะบริเวณที่กล้ามเนื้อชา ยาจะช่วยคลายกล้ามเนื้อส่วนที่เกิดการชา
และหดเกร็งตัว
เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดและการฝึกยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ
3.
การให้ยาทางไขสันหลัง (Intrathecal
Baclofen Therapy)
แพทย์จะผ่าตัดบริเวณด้านหลังของผู้ป่วย
โดยเจาะที่หลังตำแหน่งโพรงไขสันหลัง
ใส่ท่อที่มียาบาโคลเฟนคลายกล้ามเนื้อจากเครื่องปั๊มยา
เพื่อลดการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ
แก้ปัญหาอาการไอที่ลดลง ผู้ป่วยอัมพาตอาจไอลำบาก ซึ่งการไอเป็นกระบวนการที่ช่วยกำจัดมูกเหนียวหรือเสมหะที่ติดค้างอยู่ภายในระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจได้สะดวก หากมีกล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาต จะทำให้การไอเป็นไปด้วยความยากลำบาก จนเสี่ยงต่อการสะสมของมูกเหนียวในปอด นำไปสู่การติดเชื้อในปอดได้ ดังนั้น เพื่อชดเชยความสามารถของกล้ามเนื้อที่ทำให้ไอได้ยากขึ้น ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลควรเรียนรู้แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้ผู้ป่วยไอได้มากขึ้น เช่น
แก้ปัญหาอาการไอที่ลดลง ผู้ป่วยอัมพาตอาจไอลำบาก ซึ่งการไอเป็นกระบวนการที่ช่วยกำจัดมูกเหนียวหรือเสมหะที่ติดค้างอยู่ภายในระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจได้สะดวก หากมีกล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาต จะทำให้การไอเป็นไปด้วยความยากลำบาก จนเสี่ยงต่อการสะสมของมูกเหนียวในปอด นำไปสู่การติดเชื้อในปอดได้ ดังนั้น เพื่อชดเชยความสามารถของกล้ามเนื้อที่ทำให้ไอได้ยากขึ้น ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลควรเรียนรู้แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้ผู้ป่วยไอได้มากขึ้น เช่น
1.
ขยับตัวลุกนั่งทุกวัน
2.
พลิกตัวไปมาในขณะนอน
3.
ดื่มน้ำมาก ๆ
เพื่อช่วยให้เสมหะที่ข้นเหนียวเจือจางลง เอื้อต่อการไอได้ง่ายขึ้น
4.
ไม่สูบบุหรี่ หรือไม่อยู่ใกล้คนสูบบุหรี่
5.
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
และวัคซีนปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมค็อกคัส
เพื่อป้องกันการป่วยที่จะทำให้เกิดมูกเสมหะสะสมในระบบทางเดินหายใจ
การใช้เครื่องช่วยหายใจ ในผู้ป่วยบางรายที่กล้ามเนื้อบริเวณกะบังลมเป็นอัมพาต จะส่งผลให้หายใจเข้าออกลำบาก ผู้ป่วยจึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อช่วยควบคุมอากาศและแรงดันภายในปอด ซึ่งมี 2 ชนิด คือ
การใช้เครื่องช่วยหายใจ ในผู้ป่วยบางรายที่กล้ามเนื้อบริเวณกะบังลมเป็นอัมพาต จะส่งผลให้หายใจเข้าออกลำบาก ผู้ป่วยจึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อช่วยควบคุมอากาศและแรงดันภายในปอด ซึ่งมี 2 ชนิด คือ
1.
Negative Pressure Ventilator เครื่องจะสร้างภาวะสุญญากาศในปอด
ทำให้ช่วงอกขยายออก แล้วให้อากาศไหลเข้าสู่ปอดเอง
2.
Positive Pressure Ventilator เครื่องจะส่งออกซิเจนเข้าไปยังปอดโดยตรง
เพื่อช่วยในการหายใจ โดยใช้ท่อช่วยหายใจ ซึ่งมี 2 แบบ คือ
ท่อที่ต้องผ่าตัดบริเวณคอ เพื่อต่อท่อเข้าไปในหลอดลม
และท่อที่สอดเข้าไปทางปากหรือจมูก เพื่อส่งออกซิเจนเข้าไป
แม้อาการอัมพาตในผู้ป่วยบางรายจะรักษาให้หายขาดได้ยาก
แต่ผู้ป่วยก็อยู่ร่วมกับอาการอัมพาตได้ ด้วยการใช้เครื่องมือหรือวิธีการต่าง ๆ
ดังกล่าวข้างต้น
เพื่อดูแลประคับประคองและอำนวยความสะดวกให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
ภาวะแทรกซ้อนของอัมพาต
ภาวะรีเฟล็กซ์ประสาทอัตโนมัติผิดปกติ (Autonomic
Dysreflexia) มักเกิดกับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตแขนขาทั้งสองข้าง (Tetraplegia
หรือ Quadraplegia) เมื่อมีสิ่งเร้าไปรบกวนการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติซึ่งมีหน้าที่ควบคุมส่วนต่างๆภายในร่างกายที่มีผลต่อการตอบสนองของร่างกาย อย่างระบบความดันโลหิต การย่อยอาหาร
และการหายใจ ดังนั้น เมื่อมีสิ่งกระตุ้นเร้า สัญญาณเตือนต่างๆจะไม่สามารถส่งไปยังสมองของผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตได้
เนื่องจากเกิดการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง เมื่อสมองสั่งการไม่ได้ตามปกติ
สุดท้ายระบบประสาทอัตโนมัติจะแสดงอาการตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างผิดปกติ เช่น
ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นช้าลง ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
อาการที่เป็นสัญญาณของภาวะรีเฟล็กซ์ประสาทอัตโนมัติผิดปกติ ได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรง รู้สึกวิตกกังวล กระสับกระส่าย เหงื่อไหลออกมาก แน่นหน้าอก ขนลุก ความดันสูง หัวใจเต้นช้าลง (น้อยกว่า 60 ครั้ง/ นาที) ปัสสาวะลำบาก เป็นต้น หากเกิดภาวะรีเฟล็กซ์ประสาทอัตโนมัติผิดปกติแล้วผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การชักและมีเลือดออกในสมองจนถึงแก่ความตายได้
อาการที่เป็นสัญญาณของภาวะรีเฟล็กซ์ประสาทอัตโนมัติผิดปกติ ได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรง รู้สึกวิตกกังวล กระสับกระส่าย เหงื่อไหลออกมาก แน่นหน้าอก ขนลุก ความดันสูง หัวใจเต้นช้าลง (น้อยกว่า 60 ครั้ง/ นาที) ปัสสาวะลำบาก เป็นต้น หากเกิดภาวะรีเฟล็กซ์ประสาทอัตโนมัติผิดปกติแล้วผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การชักและมีเลือดออกในสมองจนถึงแก่ความตายได้
ภาวะซึมเศร้า เป็นภาวะที่มักเกิดขึ้นตามมาหลังจากผู้ป่วยประสบเหตุให้เป็นอัมพาตกะทันหัน
ทำให้เกิดความโศกเศร้าและทำใจยอมรับได้ยาก แต่หากผู้ป่วยปรับตัวปรับมุมมองได้
ก็จะผ่านพ้นขั้นความเศร้าโศกจนยอมรับความจริงและอยู่ร่วมกับอาการป่วยต่อไปได้
ทั้งนี้
ผู้ป่วยหรือบุคคลใกล้ชิดควรดูแลและเฝ้าระวังสังเกตอาการของผู้ป่วย
หากพบว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะซึมเศร้า ควรหาวิธีให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาเยียวยา
และประคับประคองช่วยเหลือทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ให้ผู้ป่วยเรียนรู้และปรับตัวได้ในที่สุด
ปัญหาเพศสัมพันธ์และการเจริญพันธุ์ การเป็นอัมพาตอาจส่งผลกระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์ได้
แต่ไม่เสมอไป ผู้ป่วยบางรายอาจสามารถมีเพศสัมพันธ์และมีบุตรได้
ทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ และการใช้วิธีการรักษาภาวะมีบุตรยาก
ในบางรายผู้ป่วยเพศชายอาจเผชิญกับปัญหาอวัยวะเพศไม่แข็งตัว ไม่สามารถหลั่งอสุจิได้
หรือมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ในขณะที่ผู้ป่วยเพศหญิง
มักไม่ได้รับผลกระทบในด้านความสามารถในการเจริญพันธุ์
แม้จะมีผู้ป่วยจำนวนมากประสบกับปัญหาความต้องการทางเพศที่ลดลง
เพราะมีความวิตกกังวลในเรื่องต่าง ๆ ผู้ป่วยหญิงบางรายก็ไม่มีสารหล่อลื่นบริเวณอวัยวะเพศหญิง
แต่แก้ไขได้ด้วยการใช้สารหล่อลื่นที่ถูกต้องและปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ ในเพศชาย
หากกระทบต่อการใช้ชีวตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อแก้ไขภาวะดังกล่าว
การป้องกันการเกิดอัมพาต
อาการอัมพาตเกิดขึ้นหลังจากมีปัจจัยก่อนหน้า
ฉะนั้น จึงไม่มีแนวทางการป้องกันที่แน่นอน อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตไปแล้วควรศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่อไปในอนาคต ได้แก่
การดูแลป้องกันการเกิดแผลกดทับ ผู้ป่วยอัมพาตที่ขยับเขยื้อนร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับอักเสบและติดเชื้อในบริเวณนั้น เนื่องจากต้องนั่งหรือนอนในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน ทำให้เลือดนำออกซิเจนและสารอาหารไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงส่วนดังกล่าวได้ไม่สะดวก จนเนื้อเยื่อในบริเวณนั้นได้รับความเสียหายหรือเนื้อเยื่อตาย ดังนั้น ผู้ป่วยควรเปลี่ยนตำแหน่งท่านั่งหรือนอนอยู่เสมอ เช่น ขยับตัวเปลี่ยนท่านอนประมาณ 20 ครั้งต่อคืน ผู้ป่วยที่นั่งรถเข็นควรขยับตัวเปลี่ยนตำแหน่งอย่างน้อยทุก 15-30 นาที หากต้องนอนอยู่บนเตียงนาน ๆ ควรเปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
การดูแลป้องกันการเกิดแผลกดทับ ผู้ป่วยอัมพาตที่ขยับเขยื้อนร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับอักเสบและติดเชื้อในบริเวณนั้น เนื่องจากต้องนั่งหรือนอนในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน ทำให้เลือดนำออกซิเจนและสารอาหารไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงส่วนดังกล่าวได้ไม่สะดวก จนเนื้อเยื่อในบริเวณนั้นได้รับความเสียหายหรือเนื้อเยื่อตาย ดังนั้น ผู้ป่วยควรเปลี่ยนตำแหน่งท่านั่งหรือนอนอยู่เสมอ เช่น ขยับตัวเปลี่ยนท่านอนประมาณ 20 ครั้งต่อคืน ผู้ป่วยที่นั่งรถเข็นควรขยับตัวเปลี่ยนตำแหน่งอย่างน้อยทุก 15-30 นาที หากต้องนอนอยู่บนเตียงนาน ๆ ควรเปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
หากผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ควรขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลและบุคคลใกล้ชิด
คนรอบข้างควรหมั่นสังเกตบริเวณผิวหนังของผู้ป่วย หากผิวเกิดรอยแตก
หรือมีแผลเปิดซึ่งเป็นแผลกดทับ ควรรีบรักษาหรือไปพบแพทย์
การออกกำลังกาย การมีสุขภาพดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ไม่ให้แขนขาอ่อนแรง
และยังช่วยฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะและระบบต่างๆ ภายในร่างกาย
โดยผู้ที่เป็นอัมพาตควรออกกำลังกายตามสมรรถภาพของตน เช่น การยกน้ำหนัก การขี่จักรยานมือ
การเล่นกีฬาต่างๆ บนวีลแชร์
หากผู้ป่วยไม่ถนัดออกกำลังกายหรือไม่ทราบวิธีการควรขอความช่วยเหลือจากนักกายภาพบำบัด
ซึ่งจะแนะนำการออกกำลังกายและการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ
ให้ผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจใช้อุปกรณ์กายภาพบำบัด(Functional Electrical Stimulation-FES) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยส่งกระแสไฟฟ้ากระตุ้นประสาทกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ
ให้ขยับเคลื่อนไหวได้บ้าง
อ้างอิง
https://www.pobpad.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%95
การทำกายภาพบำบัดในผู้ป่วยอัมพาต
การฟื้นฟูสภาพ
เป้าหมายสำคัญคือเพื่อให้ผู้ป่วยมีความสามารถที่จะเหลือช่วยตัวเอง และมีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงปกติมากที่สุด ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่สามารถให้การฟื้นฟูได้ดี เป็นผู้ป่วยที่สามารถที่จะรับรู้ เข้าใจ และติดต่อคำบอกเล่า เพราะการเรียนรู้เป็นขั้นตอนการฝึกที่สำคัญของการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่ผลการฟื้นฟูได้ผลดีจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ
- ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว และสังคมที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- มีการฟื้นตัวของความสามารถในการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้เร็ว ภายใน 1-2 สัปดาห์
- มีการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อลำตัว สะโพก หัวไหล่ โดยเร็วโดยเฉพาะกล้ามเนื้อส่วนต้นได้ภายใน 2-4 สัปดาห์
- มีการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อแต่ละมัดโดยเร็วสามารถควบคุมกล้ามเนื้อแต่ละมัดได้ภายใน 4-6 สัปดาห์
- มีอารมณ์ดี ไม่มีอาการซึมเศร้า
- มีการรับรู้ที่ดี
ผู้ป่วยที่ผลการฟื้นฟูได้ผลไม่ดี
- ผู้ป่วยอยู่ในระยะ coma นานไป
- อยู่ในระยะปวกเปียก นานเกิน 2 เดือน
- มีอาการเกร็งหรืออ่อนแรงกล้ามเนื้อต้นขา
- ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการขับถ่าย
- ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
- ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางสายตา
- ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน
- ผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า
- ผู้ป่วยที่มีโรคอื่นร่วมด้วย เช่นโรคหัวใจ
การจัดท่านอนของผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก
ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกที่ไม่ได้มีการจัดท่านอน มักจะนอนในสภาพเข่า แขน และสะโพกงอ เมื่อผู้ป่วยดีขึ้นจะไม่สามารถใช้แขน และขาข้างนั้นได้อย่างเต็มที่เนื่องจากข้อติด
|
การจัดท่านอนหงาย
- ศีรษะหนุนหมอนใบเล็กๆ ไม่ให้ศีรษะยกสูงไป
- จัดให้ศีรษะหมุนไปด้านที่อัมพาต
- จัดตัวให้ตรง อย่าให้เอียงไปด้านที่เป็นอัมพาต
- ข้อสะโพก ใช้หมอนบางๆหนุนหรือวางใต้สะโพกข้างที่อัมพาตเพื่อกันไม่ให้เชิงกรานแบะออกไปด้านหลัง
- ข้อเข่าอยู่ในท่าเหยียดตรง หรืองอเล็กน้อย
- ข้อเท้าใช้ foot board เพื่อป้องกันไม่ให้ปลายเท้าตก
- ลักษณะของแขนสามารถจัดวางได้ 3 แบบ
- มือและข้อมือควรจัดดังรูป
การจัดท่านอนตะแคงข้างดี
- นอนตะแคงเต็มตัว
- ศีรษะโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย
- ลำตัวตรง
- แขนข้างอัมพาตจัดให้ไหล่งุ้มไปทางด้านหน้า ใช้หมอนรองแขน มือวางบนหมอน
การจัดท่านอนตะแคงทับข้างที่เป็นอัมพาต
- จัดศีรษะโน้มไปด้านหน้า
- ลำตัวตรง
- แขน ไหล่ ข้างที่เป็นอัมพาตห่อมาทางด้านหน้า ช่วงปลายแขนอยู่ในท่าหงายมือ
- ขาด้านหลัง ข้างอัมพาตจับเหยียด ข้อสะโพกตรง เข่างอเล็กน้อย
- ขาข้างดีอยู่บนงอไปด้านหน้า ใช้หมอนรองรับไว้
การจัดท่านอนคว่ำ
- ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องหายใจ และสามารถนอนคว่ำได้ ควรจัดให้นอนคว่ำวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ใช้หมอนรองเข้าเท้าไว้
การป้องกันข้อติด
การเคลื่อนไหวบนเตียง
เมื่อผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว ควรสอนให้ผู้ป่วยช่วยตัวเองในการเปลี่ยนท่านอน เช่นจากท่านอนไปเป็นท่าตะแคง
การตะแคงไปข้างที่ดี
- สอนให้จับแขนข้างอัมพาตวางไว้บนทรวงอกหรือหน้าท้อง
- สอดปลายขาที่ดีใต้เข่าที่เป็นอัมพาต เลื่อนเท้าที่ดีลงไปถึงข้อเท้าที่เป็นอัมพาต
- ใช้ขาที่ดีค่อยๆยกขาข้างอัมพาตขึ้น แล้วค่อยๆตะแคงไปด้านที่ดี
- ยกศีรษะ ไหล่ และตะแคงตัวไปด้านดี โดยใช้แขนข้างที่ดียันลง
- บนที่นอน มือจับขอบที่นอนไว้
การตะแคงตัวไปข้างที่เป็นอัมพาต
- ใช้มือข้างดี อ้อมมาจับราวขอบเตียงหรือขอบที่นอนด้านตรงข้าม
- ใช้แขนที่ดีดึงตัวให้ตะแคงไปด้านที่เป็นอัมพาต
อ้างอิง
https://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/rehabilitation/rehabilitation.htm